ทำความเข้าใจพื้นฐานของการซื้อขาย Forex
การซื้อขายฟอเร็กซ์เป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายรายวันเกินกว่าล้านล้านดอลลาร์ แก่นแท้ของตลาดนี้คือแนวคิดของ pip ซึ่งย่อมาจาก “percentage in point” หรือ “price interest point” ซึ่งก็คือการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กที่สุดในคู่สกุลเงิน
การทำความเข้าใจค่า Pip ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน เพราะเป็นพื้นฐานในการประเมินแนวโน้มของตลาด คำนวณกำไรและขาดทุน และจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังฝึกฝนทักษะ การเชี่ยวชาญค่า Pip ถือเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจซื้อขายอย่างรอบรู้
Pip ในการซื้อขาย Forex คืออะไร?
พิป ย่อมาจาก “จุดเปอร์เซ็นต์” หรือ “จุดความสนใจราคา” เป็นหน่วยวัดมาตรฐานในการซื้อขายฟอเร็กซ์ที่ใช้เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงราคาระหว่างสองสกุลเงินในคู่สกุลเงิน สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ พิปเท่ากับการเคลื่อนไหวของราคา 0.0001 หรือหนึ่งในร้อยของเปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น หากคู่สกุลเงิน EUR/USD เคลื่อนไหวจาก 1.1050 เป็น 1.1051 การเปลี่ยนแปลงหลักเดียวในหลักทศนิยมที่สี่นั้นแสดงถึงหนึ่งพิป
กรณีพิเศษ: คู่เงินเยนของญี่ปุ่น
ไม่ใช่คู่สกุลเงินทั้งหมดที่จะปฏิบัติตามกฎนี้ สำหรับคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินเยนของญี่ปุ่น (เช่น USD/JPY) หนึ่งพิพจะแสดงเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่ 0.01 แทนที่จะเป็น 0.0001 ความแตกต่างนี้เกิดขึ้นเพราะในอดีตคู่สกุลเงินเยนจะถูกกำหนดเป็นทศนิยมสองตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนถึงมูลค่าสัมพันธ์ของเงินเยนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ
บริบททางประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการ
แนวคิดของ pip ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการซื้อขาย Forex เมื่อการกำหนดมาตรฐานถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่ามีความสอดคล้องกันในตลาดทั่วโลก ในตอนนั้น pip ทำหน้าที่เป็นภาษาสากลสำหรับให้เทรดเดอร์สื่อสารการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างชัดเจนและหลีกเลี่ยงความคลุมเครือ
การถือกำเนิดของแพลตฟอร์มการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ทำให้มีการกำหนดราคาแบบเศษส่วนของพิป หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “ปิเปต” นวัตกรรมนี้ทำให้สามารถวัดค่าได้ละเอียดยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเคลื่อนไหวของราคาและกลยุทธ์การซื้อขาย
ทำไม Pip ถึงสำคัญ?
Pip มีบทบาทสำคัญในการซื้อขาย Forex และมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญหลายประการ:
-
1.
ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด:
Pip มอบช่องทางที่เป็นมาตรฐานในการวัดและเปรียบเทียบความผันผวนของราคาระหว่างคู่สกุลเงินที่หลากหลาย ทำให้วิเคราะห์แนวโน้มตลาดได้ง่ายขึ้น
-
2.
การคำนวณกำไรและขาดทุน:
โดยการเข้าใจ pips เทรดเดอร์สามารถคำนวณผลกระทบทางการเงินของการซื้อขายได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้สามารถประเมินประสิทธิภาพและปรับแต่งกลยุทธ์ได้
-
3.
อำนวยความสะดวกในการสื่อสารที่ชัดเจน:
Pip สร้างมาตรฐานวิธีการแสดงการเปลี่ยนแปลงราคา ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการสื่อสารระหว่างผู้ซื้อขาย นายหน้า และนักวิเคราะห์จะสอดคล้องและชัดเจน
การเปรียบเทียบในโลกแห่งความเป็นจริง
หากต้องการเข้าใจแนวคิดของหน่วยพิปอย่างเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ให้ลองนึกภาพการติดตามราคาหุ้น แทนที่จะวัดการเปลี่ยนแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์หรือจำนวนเงินดอลลาร์โดยพลการ คุณสามารถทำให้การเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นมาตรฐานโดยใช้หน่วยเซ็นต์เพื่อความแม่นยำ ในทำนองเดียวกัน ในตลาดฟอเร็กซ์ หน่วยพิปเป็นหน่วยวัดที่สม่ำเสมอและเป็นที่ยอมรับทั่วโลกในการแสดงการเปลี่ยนแปลงราคา
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
Pip อาจดูเหมือนเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการเทรด Forex เพราะช่วยให้เทรดเดอร์วัดการเคลื่อนไหวของตลาด คำนวณผลกำไร และสื่อสารกันภายในชุมชนการเทรดได้ง่ายขึ้น การเชี่ยวชาญแนวคิดเรื่อง Pip จะช่วยให้คุณสร้างพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจเทรดอย่างมีข้อมูลและเชิงกลยุทธ์
วิธีการคำนวณ Pip
การทำความเข้าใจวิธีการคำนวณค่า pip ถือเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับเทรดเดอร์ Forex ทุกคน มูลค่าของ pip จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงินที่ซื้อขายและขนาดของการซื้อขาย นี่คือคำแนะนำทีละขั้นตอนในการคำนวณค่า pip ในสถานการณ์ต่างๆ
การคำนวณ Pip สำหรับคู่สกุลเงินหลัก
-
คู่สกุลเงิน: ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ
-
อัตราแลกเปลี่ยน : 1.1050
-
ขนาดที่ดิน: 100,000 หน่วย (1 ล็อตมาตรฐาน)
-
การคำนวณมูลค่า Pip:
มูลค่า Pip = (0.0001 ÷ 1.1050) × 100,000 = 9.05 USD
-
บันทึก: สำหรับบัญชีที่ใช้สกุลเงิน USD มูลค่า pip ของ EUR/USD จะเท่ากับเสมอ $10 ต่อ pip ต่อล็อตมาตรฐาน, ไม่คำนึงถึงอัตราแลกเปลี่ยน
-
ซึ่งจะช่วยให้การคำนวณมูลค่า pip สอดคล้องและเรียบง่ายขึ้นสำหรับผู้ซื้อขายที่ใช้ USD เป็นสกุลเงินในบัญชีของตน
การคำนวณ Pip สำหรับคู่เงิน JPY
-
คู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินเยนของญี่ปุ่น (เช่น USD/JPY, EUR/JPY) โดยทั่วไปจะมีราคาเป็นทศนิยมสองตำแหน่ง ในกรณีนี้ หนึ่งพิพจะเท่ากับ 0.01การคำนวณใช้สูตรเดียวกัน:
-
ตัวอย่างการคำนวณสำหรับ USD/JPY:
- คู่สกุลเงิน: ดอลลาร์สหรัฐ/เยน
- อัตราแลกเปลี่ยน : 110.50
- ขนาดที่ดิน: 100,000 หน่วย (1 ล็อตมาตรฐาน)
- มูลค่าพิพ: (0.01 ÷ 110.50) × 100,000 = 9.05 ดอลลาร์สหรัฐฯ
-
แม้ว่าตำแหน่งทศนิยมจะแตกต่างกัน แต่ค่าเงินของ pip สำหรับคู่เงินเยนก็มักจะสอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับคู่เงินหลัก
ราคาปิเปตแบบเศษส่วน (ปิเปต)
-
โบรกเกอร์ Forex ยุคใหม่มักใช้การกำหนดราคาแบบเศษส่วนของพิป โดยเพิ่มตำแหน่งทศนิยมพิเศษให้กับราคาสกุลเงินเพื่อความแม่นยำที่มากขึ้น เศษส่วนของพิปเหล่านี้หรือ “ปิเปต” แสดงถึง 1/10 ของ pip
-
ตัวอย่าง:
- หาก EUR/USD ถูกระบุเป็น 1.10503, หลักสุดท้าย (“3”) เป็นเศษส่วนพิป
-
แม้ว่าตัวเลขเศษส่วนจะให้รายละเอียดที่ละเอียดกว่า แต่ผลกระทบต่อการคำนวณการซื้อขายนั้นมีน้อยมากสำหรับผู้ซื้อขายส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่เน้นที่ขนาดล็อตที่ใหญ่กว่า
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
การคำนวณค่า pip ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการประเมินผลกำไรจากการเทรดและการวางแผนกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง โดยการเชี่ยวชาญการคำนวณค่า pip สำหรับคู่สกุลเงินต่างๆ เทรดเดอร์สามารถวัดผลกระทบทางการเงินจากการเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างแม่นยำและตัดสินใจเทรดอย่างรอบรู้
ตัวอย่างของ Pip ในการดำเนินการ
การทำความเข้าใจว่าค่า Pip ทำงานอย่างไรในสถานการณ์การซื้อขายจริงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเข้าใจถึงความสำคัญของค่า Pip ต่อไปนี้คือตัวอย่างเชิงปฏิบัติสามประการที่แสดงให้เห็นว่าค่า Pip มีอิทธิพลต่อกำไร ขาดทุน และการตัดสินใจซื้อขายอย่างไร
-
ตัวอย่างที่ 1: กำไรจากการค้าขาย
- สถานการณ์: ลองนึกภาพว่าคุณซื้อขาย EUR/USD จำนวน 1 ล็อตมาตรฐาน
- ราคาค่าเข้า: 1.1200
- ราคาออก: 1.1250
- การเคลื่อนไหวของราคา: 1.1250 – 1.1200 = 0.0050 (50 พิพ)
- สูตรคำนวณกำไร: กำไร = มูลค่า Pip × จำนวน Pip
- สมมติมูลค่า Pip: $10 (สำหรับล็อตมาตรฐาน)
- กำไร: 50 พิพ × $10 = $500
-
การจับการเคลื่อนไหว 50 พิพ จะทำให้คุณได้กำไร $500 ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการติดตามพิพช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวัดผลกำไรจากการเคลื่อนไหวราคาที่เอื้ออำนวยได้อย่างไร
-
ตัวอย่างที่ 2: การสูญเสียจากการค้า
- สถานการณ์: พิจารณาสถานการณ์ที่ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับตำแหน่งของคุณใน GBP/USD
- ราคาค่าเข้า: 1.3050
- จุดตัดขาดทุน: 1.3030
- การเคลื่อนไหวของราคา: 1.3050 – 1.3030 = 0.0020 (20 พิพ)
- สูตรการคำนวณการสูญเสีย: การสูญเสีย = มูลค่า Pip × จำนวน Pip
- สมมติมูลค่า Pip: $10 (สำหรับล็อตมาตรฐาน)
- การสูญเสีย: 20 พิพ × $10 = $200
-
การขาดทุน $200 นี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ pip เพื่อกำหนดระดับการหยุดการขาดทุนที่เหมาะสม เพื่อช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ตัวอย่างที่ 3: คู่สกุลเงินแปลกใหม่
คู่สกุลเงินแปลกใหม่เช่น USD/SEK หรือ EUR/TRY มักจะแสดงความผันผวนที่สูงกว่าและสเปรดที่กว้างกว่า ส่งผลให้มูลค่า pip ที่มากขึ้น
ตัวอย่าง USD/SEK:
- คู่สกุลเงิน: ดอลลาร์สหรัฐ/โครนสวีเดน
- อัตราแลกเปลี่ยน : 9.5000
- ขนาดที่ดิน: 100,000 หน่วย
- สูตรค่า Pip: มูลค่า Pip = (หนึ่ง Pip / อัตราแลกเปลี่ยน) × ขนาดล็อต
- การคำนวณ : มูลค่า Pip = (0.0001 / 9.5000) × 100,000 = 1.05 USD
-
ในกรณีนี้ การเคลื่อนไหว 1 pip มีค่าเท่ากับ $1.05 ซึ่งต่ำกว่าค่า pip ของคู่เงินหลักอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงพลวัตเฉพาะตัวของคู่เงินที่แปลกใหม่ และความสำคัญของการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้จริงของค่า pip ในการวัดผลกำไร ขาดทุน และผลลัพธ์การซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายคู่สกุลเงินหลัก คู่สกุลเงินเยน หรือสกุลเงินแปลกใหม่ การทำความเข้าใจค่า pip ถือเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินผลการซื้อขายและการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
Pips เป็นเครื่องมือการจัดการความเสี่ยง
ในการซื้อขาย Forex นั้น pips ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการจัดการความเสี่ยงและการกำหนดขนาดตำแหน่ง โดยการทำความเข้าใจมูลค่า pip และใช้ค่าเหล่านี้อย่างมีกลยุทธ์ เทรดเดอร์สามารถปกป้องเงินทุนของตนได้ในขณะที่เพิ่มผลตอบแทนที่เป็นไปได้ให้สูงสุด นี่คือสี่วิธีหลักที่ pips ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยง:
-
1. การวัดผลกำไรและขาดทุน:
Pip เป็นมาตรฐานสากลในการวัดความเคลื่อนไหวของตลาด ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวัดผลกำไรหรือขาดทุนได้อย่างง่ายดาย ความชัดเจนนี้มีความสำคัญไม่ว่าจะซื้อขายคู่สกุลเงินใดก็ตาม
ตัวอย่าง:
คุณเข้าตำแหน่งซื้อใน EUR/USD ที่ราคา 1.1000 และขายออกที่ราคา 1.1050 กำไร 50 พิปสะท้อนถึงผลกำไรของคุณโดยตรง เมื่อทราบค่าพิป (เช่น $10 ต่อพิปสำหรับล็อตมาตรฐาน) คุณสามารถคำนวณผลกำไรของคุณได้:
กำไร = 50 × 10 = 500 USD
-
2. การกำหนดขนาดตำแหน่ง:
Pip มีความสำคัญต่อการกำหนดขนาดล็อตที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขาย การคำนวณมูลค่า Pip และการพิจารณาระดับการยอมรับความเสี่ยงของคุณจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดยังคงอยู่ในขอบเขตที่จัดการได้
ตัวอย่าง:
คุณมีบัญชีซื้อขาย $10,000 และยินดีที่จะเสี่ยง 2% ของบัญชีของคุณในการซื้อขายครั้งเดียว ($200) คุณตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ห่างจากราคาเข้า 20 พิป โดยใช้การคำนวณพิป คุณกำหนดได้ว่าการซื้อขาย 1 มินิล็อต (10,000 หน่วย) จะทำให้ความเสี่ยงของคุณอยู่ที่หรือต่ำกว่า $200:
ความเสี่ยงต่อ Pip = ความเสี่ยงทั้งหมด / จำนวน Pip = 200 / 20 = 10 USD
-
3. การกำหนดระดับ Stop-Loss และ Take-Profit:
การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเกี่ยวข้องกับการตั้งจุดตัดขาดทุนและจุดทำกำไร ซึ่งทั้งสองอย่างนี้วัดเป็นหน่วยพิป การทำความเข้าใจค่าพิปทำให้เทรดเดอร์สามารถวางระดับเหล่านี้อย่างมีกลยุทธ์เพื่อให้ได้อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่สมดุล
สถานการณ์:
คุณตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าราคาเข้า 30 พิพ และตั้งจุดทำกำไรไว้สูงกว่า 60 พิพ ซึ่งจะทำให้มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:2 ซึ่งหมายความว่าคุณกำลังเสี่ยง $1 เพื่อรับ $2 อัตราส่วนดังกล่าวมีความจำเป็นต่อผลกำไรในระยะยาว
-
4. การเปรียบเทียบความเคลื่อนไหวของตลาด:
Pip สร้างมาตรฐานการวัดการเปลี่ยนแปลงราคาระหว่างคู่สกุลเงิน ทำให้เปรียบเทียบความผันผวนและการเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น แม้แต่ระหว่างคู่สกุลเงินหลัก คู่สกุลเงินรอง และคู่สกุลเงินแปลก
ตัวอย่าง:
หาก EUR/USD เคลื่อนไหว 40 pips ในหนึ่งวันและ USD/JPY เคลื่อนไหว 50 pips การวัด pip จะช่วยให้คุณประเมินและเปรียบเทียบความผันผวนของคู่เงินเหล่านี้ได้อย่างเป็นกลาง ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปรับกลยุทธ์ของตนตามสภาวะตลาดได้
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
Pip ไม่ใช่แค่หน่วยวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงอีกด้วย ตั้งแต่การคำนวณกำไรและขาดทุนไปจนถึงการกำหนดขนาดตำแหน่งและการตั้งระดับการหยุดขาดทุน การเชี่ยวชาญการใช้ Pip ช่วยให้เทรดเดอร์ลดความเสี่ยง ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และเทรดด้วยความมั่นใจ
1 Pip มีค่าเท่าไหร่?
มูลค่าทางการเงินของ pip ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงินที่ซื้อขาย อัตราแลกเปลี่ยน และขนาดล็อต การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการคำนวณมูลค่า pip ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือรายละเอียดของปัจจัยสำคัญและตัวอย่าง
-
1. สูตรค่า Pip:
ค่าของ pip สามารถคำนวณได้โดยใช้สูตรต่อไปนี้:
มูลค่า Pip = หนึ่ง Pip / อัตราแลกเปลี่ยน × ขนาดล็อต
- หนึ่งปิ๊ป: แสดงถึงความเคลื่อนไหวราคาที่เล็กที่สุดสำหรับคู่สกุลเงิน
- อัตราแลกเปลี่ยน : ระบุค่าของสกุลเงินอ้างอิงเทียบกับสกุลเงินฐาน
- ขนาดที่ดิน: สะท้อนถึงจำนวนหน่วยสกุลเงินที่มีการซื้อขาย (ล็อตมาตรฐาน ล็อตมินิ หรือล็อตไมโคร)
-
2. ตัวอย่างการคำนวณค่า Pip:
- ตัวอย่างที่ 1: EUR/USD (คู่สกุลเงินหลัก)
- อัตราแลกเปลี่ยน : 1.2000
- ขนาดที่ดิน: 100,000 หน่วย (1 ล็อตมาตรฐาน)
- หนึ่งปิ๊ป: 0.0001
- การคำนวณ : มูลค่า Pip = (0.0001 / 1.2000) × 100,000 = 8.33 USD
- ซึ่งหมายความว่าการเคลื่อนตัว 1 pip ใน EUR/USD จะเท่ากับ $8.33 สำหรับล็อตมาตรฐาน
- ตัวอย่างที่ 2: USD/JPY (คู่เงินเยน)
- อัตราแลกเปลี่ยน : 110.00
- ขนาดที่ดิน: 100,000 หน่วย (1 ล็อตมาตรฐาน)
- หนึ่งปิ๊ป: 0.01
- การคำนวณ : มูลค่า Pip = (0.01 / 110.00) × 100,000 = 9.09 USD
- สำหรับคู่เงินเยน มูลค่าของ pip โดยทั่วไปจะสูงกว่าเล็กน้อยเนื่องจากใช้ตำแหน่งทศนิยมที่เล็กกว่าในการกำหนดราคา
-
3. มูลค่า Pip ตามขนาดล็อต:
มูลค่าของ pip จะปรับตามสัดส่วนของขนาดล็อต:
- ล็อตมาตรฐาน (100,000 ยูนิต): มูลค่า pip สูงสุด
- มินิล็อต (10,000 ยูนิต): 1/10 ของมูลค่า pip ของล็อตมาตรฐาน
- ไมโครล็อต (1,000 หน่วย): 1/100 ของมูลค่า pip ของล็อตมาตรฐาน
ตัวอย่าง EUR/USD (อัตราแลกเปลี่ยน: 1.2000):
- ล็อตมาตรฐาน: $8.33 ต่อ pip
- มินิล็อต: $0.833 ต่อ pip
- ไมโครล็อต: $0.0833 ต่อ pip
-
4. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อมูลค่า Pip:
ปัจจัยหลายประการสามารถส่งผลต่อมูลค่าของ pip รวมถึง:
- คู่สกุลเงิน: ค่าของ Pip จะแตกต่างกันไปในแต่ละคู่ โดยคู่ที่แปลกใหม่มักจะมีค่าที่สูงกว่าเนื่องจากความผันผวนที่เพิ่มมากขึ้น
- อัตราแลกเปลี่ยน : อัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้นจะลดมูลค่าของ pip สำหรับคู่สกุลเงินที่ระบุในสกุลเงินฐาน
- สกุลเงินบัญชี: หากสกุลเงินในบัญชีของคุณต่างจากสกุลเงินอ้างอิง คุณจะต้องแปลงค่า pip เป็นสกุลเงินในบัญชีของคุณ
-
5. การประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ: การปรับขนาดตำแหน่ง:
การทราบมูลค่า Pip ช่วยให้ผู้ซื้อขายสามารถปรับขนาดตำแหน่งตามความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตนได้
ตัวอย่าง:
คุณเต็มใจที่จะเสี่ยง $50 ในการซื้อขาย มูลค่าของ pip คือ $10 ต่อ pip เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ คุณตั้งจุดตัดขาดทุนของคุณห่างจากราคาเข้า 5 pip:
Stop-Loss Pip = จำนวนความเสี่ยง / มูลค่า Pip = 50 / 10 = 5 Pip
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
ค่า Pip ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการจัดการการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทำความเข้าใจวิธีการคำนวณมูลค่าทางการเงินของ Pip เทรดเดอร์สามารถกำหนดขนาดตำแหน่งของตนได้อย่างเหมาะสม กำหนดพารามิเตอร์ความเสี่ยงที่แม่นยำ และประเมินผลกำไรจากการซื้อขายได้อย่างมั่นใจ
มูลค่าสกุลเงินถูกกำหนดอย่างไร
มูลค่าของสกุลเงินในตลาด Forex นั้นถูกกำหนดโดยแรงผลักดันทางเศรษฐกิจ การเมือง และตลาดต่างๆ สำหรับผู้ซื้อขาย การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าสกุลเงินจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ pip และในท้ายที่สุดก็คือผลลัพธ์ของการซื้อขาย นี่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงิน:
-
1. อัตราดอกเบี้ย:
ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความแข็งแกร่งของสกุลเงิน
ผลกระทบ: อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้มีความต้องการสกุลเงินนี้เพิ่มขึ้นและมูลค่าของสกุลเงินก็เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอาจทำให้ค่าเงินลดลง
ตัวอย่าง: หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอาจแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร ส่งผลให้ค่าเงิน EUR/USD ลดลง
-
2. อัตราเงินเฟ้อ:
อัตราเงินเฟ้อส่งผลต่ออำนาจซื้อของสกุลเงิน โดยอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและมีเสถียรภาพมักเกี่ยวข้องกับสกุลเงินที่แข็งค่าขึ้น
ผลกระทบ: อัตราเงินเฟ้อที่สูงจะกัดกร่อนมูลค่าของสกุลเงิน ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำบ่งบอกถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสนับสนุนให้สกุลเงินแข็งแกร่ง
ตัวอย่าง: หากอัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงทรงตัว GBP/USD อาจอ่อนค่าลงเนื่องจากปอนด์สูญเสียอำนาจซื้อเมื่อเทียบกับดอลลาร์
-
3. ตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจ:
ข้อมูลเศรษฐกิจให้ภาพรวมของสุขภาพทางการเงินของประเทศและมีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ผลกระทบ: ตัวบ่งชี้เชิงบวก เช่น การเติบโตของ GDP อัตราการว่างงานที่ต่ำ และยอดขายปลีกที่แข็งแกร่งสามารถทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้นได้ ข้อมูลเชิงลบอาจมีผลตรงกันข้าม
ตัวอย่าง: รายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ อาจผลักดันให้ USD/JPY ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อขายคาดการณ์ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
-
4. เสถียรภาพทางการเมือง:
เสถียรภาพทางการเมืองช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจให้กับสกุลเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โลกมีความไม่แน่นอน ในทางกลับกัน ความไม่สงบทางการเมืองสามารถกระตุ้นให้ค่าเงินลดลงได้
ผลกระทบ: รัฐบาลที่มีเสถียรภาพช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ในขณะที่ความไม่แน่นอนหรือความเปลี่ยนแปลงจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน
ตัวอย่าง: การเจรจา Brexit ทำให้ค่าเงิน GBP/USD มีความผันผวนอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนตอบสนองต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
-
5. เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์:
เหตุการณ์ต่างๆ เช่น สงคราม ข้อพิพาททางการค้า และภัยธรรมชาติ อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอน และนำไปสู่ความผันผวนของสกุลเงินอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบ: ตลาดตอบสนองต่อการพัฒนาทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างรวดเร็ว โดยสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากกว่ามักทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
ตัวอย่าง: ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมักทำให้ค่าเงิน USD/CNY เคลื่อนไหวรุนแรง ซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกของตลาดที่ตอบสนองต่อการประกาศนโยบาย
-
6. อุปทานและอุปสงค์:
หลักการพื้นฐานของอุปทานและอุปสงค์ยังกำหนดมูลค่าสกุลเงินด้วย
ผลกระทบ: ความต้องการสกุลเงินที่สูงขึ้นจะทำให้มูลค่าของสกุลเงินนั้นแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่อุปทานที่มากเกินไปจะนำไปสู่การลดค่าของสกุลเงิน
ตัวอย่าง: หากญี่ปุ่นประสบกับความต้องการสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น ความต้องการเงินเยนของญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ USD/JPY ลดลง
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
มูลค่าของสกุลเงินได้รับอิทธิพลจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของสภาพเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางการเมือง และพลวัตของตลาด สำหรับผู้ค้า Forex การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญในการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของตลาด การประเมินความเสี่ยง และการสร้างกลยุทธ์การซื้อขายที่มีข้อมูลเพียงพอ
ความเข้าใจผิดทั่วไปเกี่ยวกับ Pips
แม้ว่า Pip จะมีบทบาทสำคัญในการซื้อขาย Forex แต่เทรดเดอร์มือใหม่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ การชี้แจงความเข้าใจผิดเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างรากฐานที่มั่นคงในการซื้อขาย มาแก้ไขความเข้าใจผิดทั่วไปและให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์กัน
-
1. Pip ทุกอันเท่ากัน:
เทรดเดอร์จำนวนมากเข้าใจผิดว่าค่าของ pip มีค่าเท่ากันในทุกคู่สกุลเงิน ในความเป็นจริง ค่าของ pip จะแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น คู่สกุลเงิน ขนาดล็อต และสกุลเงินของบัญชี
ตัวอย่าง: โดยทั่วไปค่า pip ของ USD/ZAR (ดอลลาร์สหรัฐต่อแรนด์แอฟริกาใต้) จะสูงกว่าค่า EUR/USD เนื่องจากความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนของตลาด การซื้อขายคู่สกุลเงินที่แปลกใหม่มักจะเกี่ยวข้องกับค่า pip ที่สูงกว่า ซึ่งสะท้อนถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นของคู่สกุลเงิน
-
2. Pip และกำไรเป็นสิ่งเดียวกัน:
แม้ว่า Pip จะวัดการเคลื่อนไหวของราคา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้กำไรหรือขาดทุนโดยตรง รายได้ขึ้นอยู่กับทั้งขนาดล็อตและมูลค่าของ Pip
ตัวอย่าง: การเคลื่อนไหว 10 พิพด้วย 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000 หน่วย) อาจให้ผลลัพธ์ $100 ในขณะที่การเคลื่อนไหวแบบเดียวกันด้วย 1 ล็อตมินิ (10,000 หน่วย) จะให้ผลลัพธ์เพียง $10 เท่านั้น ผู้ซื้อขายจะต้องคำนวณมูลค่าทางการเงินของพิพเสมอเพื่อประเมินผลกำไรที่แท้จริงของการซื้อขาย
-
3. Pip นั้นมีอยู่ในทุกโบรกเกอร์:
เทรดเดอร์บางรายถือว่าการวัดค่าเป็นหน่วยพิปเป็นมาตรฐานสำหรับโบรกเกอร์แต่ละราย อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในวิธีการเสนอราคา เช่น การกำหนดราคาเป็นหน่วยพิปเศษส่วน (ปิเปต) อาจทำให้เกิดความแตกต่างเล็กน้อย
ตัวอย่าง: โบรกเกอร์รายหนึ่งอาจเสนอราคา EUR/USD เป็น 1.10500 (รวมค่า pip เศษส่วน) ในขณะที่อีกรายหนึ่งอาจแสดงเป็น 1.1050 โดยไม่รวมค่า pip ถึงแม้ว่าความแตกต่างเหล่านี้จะน้อยมาก แต่ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจระบบกำหนดราคาของโบรกเกอร์ของคุณ
-
4. Pip ใช้ได้เฉพาะกับ Forex เท่านั้น:
แม้ว่า Pip จะใช้เป็นหลักในการเทรด Forex แต่ในตลาดอื่นๆ ก็มีแนวคิดที่คล้ายคลึงกัน ผู้เทรดควรทำความคุ้นเคยกับคำศัพท์เฉพาะของตลาดเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน
ตัวอย่าง: ในการซื้อขายล่วงหน้า การเคลื่อนไหวของราคาที่น้อยที่สุดเรียกว่าติ๊ก ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับปิ๊ปในตลาดฟอเร็กซ์ ตลาดแต่ละแห่งมีข้อตกลงของตนเอง และการทำความเข้าใจข้อตกลงเหล่านี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ
-
5. จำนวน Pip ที่มากขึ้นเท่ากับการซื้อขายที่ดีขึ้น:
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ การได้รับจำนวน pip จำนวนมากจะทำให้การซื้อขายดีขึ้นเสมอ ในความเป็นจริง คุณภาพของการซื้อขายนั้นมีความสำคัญมากกว่าจำนวน pip ที่ได้รับ ซึ่งกำหนดโดยปัจจัยต่างๆ เช่น การจัดการความเสี่ยง ขนาดตำแหน่ง และกลยุทธ์
ตัวอย่าง: การเทรด 20 พิพด้วยอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:2 อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการเทรด 100 พิพที่มีความเสี่ยงสูงแต่ศักยภาพในการให้ผลตอบแทนต่ำ การมุ่งเน้นเฉพาะปริมาณพิพโดยไม่พิจารณาถึงความเสี่ยงหรือกลยุทธ์มักจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดี
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
การทำความเข้าใจและแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ pip ถือเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ตัวชี้วัดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่า pip จะมีความสำคัญต่อการวัดความเคลื่อนไหวของราคา แต่คุณค่าที่แท้จริงของ pip นั้นอยู่ที่วิธีการนำไปใช้ในกลยุทธ์การซื้อขายที่กว้างขึ้น การไขความลึกลับของความเข้าใจผิดเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและมั่นใจมากขึ้น
กลยุทธ์ขั้นสูงโดยใช้ Pip
เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ใช้ประโยชน์จาก pips เป็นรากฐานของกลยุทธ์การซื้อขาย ช่วยให้พวกเขาสามารถนำทางความซับซ้อนของตลาด เพิ่มผลกำไรให้สูงสุด และจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือเทคนิคขั้นสูงบางส่วนที่ pips มีบทบาทสำคัญ:
-
1. Scalping แบบมี Pips:
Scalping คือกลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นที่มุ่งเน้นที่การจับการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง ผู้ซื้อขายจะดำเนินการซื้อขายหลายครั้งต่อวัน โดยมุ่งเน้นที่กำไรอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อย
มันทำงานอย่างไร:
- คู่สกุลเงิน: EUR/USD (สเปรดต่ำและสภาพคล่องสูง)
- เป้า: 5–10 pips ต่อการซื้อขาย
- ปริมาณการซื้อขาย: ขนาดล็อตที่ใหญ่ขึ้นเพื่อขยายผลกำไรจากการเคลื่อนไหวของ pip เพียงเล็กน้อย
ตัวอย่าง:
เทรดเดอร์เข้าตำแหน่งซื้อที่ราคา 1.1200 และออกที่ราคา 1.1205 โดยได้ 5 พิพ เมื่อใช้ 5 ล็อตมาตรฐาน กำไรของพวกเขาจะเป็นดังนี้:
5 pip × 5 ล็อต × 10 USD / pip = 250 USD
-
2. การเทรดแบบสวิงด้วย Pips:
การเทรดแบบสวิงจะเน้นที่ตำแหน่งระยะยาว ซึ่งโดยปกติจะถือไว้เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เพื่อใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ใหญ่ขึ้น Pip ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวัดแนวโน้มและกำหนดเป้าหมายกำไรและขาดทุนที่สมจริงได้
มันทำงานอย่างไร:
- ระบุเส้นแนวโน้ม ระดับแนวรับและแนวต้าน หรือการย้อนกลับของฟีโบนัชชี
- ใช้การวัดขนาด pip เพื่อกำหนดระดับ stop-loss และ take profit
- ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 50–200 pips ต่อการซื้อขาย ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์
ตัวอย่าง:
เทรดเดอร์ขายชอร์ต GBP/USD ที่ราคา 1.3100 โดยตั้งเป้าไปที่ 1.3000 (การเคลื่อนไหว 100 พิป) หากประสบความสำเร็จ กำไรที่ได้จะเป็นดังนี้:
100 pip × 10 USD / pip = 1,000 USD
-
3. การกำหนดระดับ Stop-Loss และ Take-Profit:
Pip มีความสำคัญต่อการกำหนดความเสี่ยงและผลตอบแทนในการซื้อขาย โดยการกำหนดระดับ stop-loss และ take profit ในแต่ละ pip เทรดเดอร์สามารถบังคับใช้การจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัยได้
ตัวอย่าง:
- รายการ: ซื้อ USD/JPY ที่ 110.00
- จุดตัดขาดทุน: 109.80 (ต่ำกว่าราคาเข้า 20 pips)
- การทำกำไร: 110.40 (40 pips เหนือจุดเข้า)
การตั้งค่านี้จะสร้างอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:2 ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลกำไรที่อาจได้รับจะมากกว่าการสูญเสียที่อาจได้รับ
-
4. การใช้ Pip ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อผลตอบแทน:
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่มั่นคงถือเป็นจุดเด่นของการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จ ผู้ซื้อขายมักจะกำหนดอัตราส่วนขั้นต่ำ 1:2 ขึ้นไปเพื่อให้มั่นใจถึงผลกำไรในระยะยาว
ตัวอย่าง:
- เสี่ยง: 30 จุด
- รางวัล: อย่างน้อย 60 pips
ซึ่งรับประกันว่าแม้ว่าการซื้อขายเพียงครึ่งเดียวจะประสบความสำเร็จ แต่กลยุทธ์โดยรวมก็ยังคงสร้างกำไรได้
-
5. การใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของ Pip ในกลยุทธ์อัตโนมัติ:
เทรดเดอร์ขั้นสูงใช้ขั้นตอนวิธีและที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (EA) เพื่อทำให้การซื้อขายเป็นไปโดยอัตโนมัติตามการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละจุด เครื่องมือเหล่านี้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงราคาแบบเรียลไทม์และดำเนินการซื้อขายภายในเกณฑ์ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้ไม่ต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการตัดสินใจ
ประโยชน์:
- เพิ่มความแม่นยำในการดำเนินการซื้อขาย
- ความสามารถในการปรับขนาดสำหรับการจัดการการค้าหลายรายการพร้อมกัน
- การติดตามการเคลื่อนไหวของ pip แบบเรียลไทม์เพื่อดำเนินการตามโอกาสทางการตลาดทันที
สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำ
Pip เป็นเครื่องมืออเนกประสงค์สำหรับใช้กลยุทธ์การซื้อขายขั้นสูง ไม่ว่าคุณจะเก็งกำไรอย่างรวดเร็ว ซื้อขายแบบสวิงเพื่อหาแนวโน้มขนาดใหญ่ หรือใช้เครื่องมืออัตโนมัติ การทำความเข้าใจวิธีการใช้ประโยชน์จาก Pip อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขายและจัดการความเสี่ยงด้วยความมั่นใจ
การซื้อขายฟอเร็กซ์และ Pip
Pip เป็นเครื่องมือวัดมาตรฐานสำหรับวัดความเคลื่อนไหวของราคา ประเมินผลกำไร และจัดการความเสี่ยง การเข้าใจแนวคิดของ Pip จะทำให้เทรดเดอร์สามารถ:
-
-
ระบุปริมาณการเคลื่อนไหวของตลาด:
เข้าใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงราคาสกุลเงินด้วยความแม่นยำ
-
-
คำนวณผลกำไรจากการค้า:
วัดกำไรและขาดทุนอย่างแม่นยำเพื่อประเมินผลลัพธ์ทางการค้า
-
-
การนำการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิผลไปใช้:
ใช้ pip เพื่อกำหนดระดับการหยุดการขาดทุน ขนาดตำแหน่ง และอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่กำลังศึกษาพื้นฐานหรือเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ที่กำลังปรับแต่งกลยุทธ์ขั้นสูง การทำความเข้าใจ Pip ถือเป็นขั้นตอนสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด Forex
การใช้ข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ที่ระบุไว้ในคู่มือนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายอย่างมีข้อมูล จัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรับมือกับความซับซ้อนของตลาด Forex ได้อย่างมั่นใจ ด้วยการใช้ pips เป็นพื้นฐาน ความสำเร็จที่สม่ำเสมออยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม พร้อมที่จะเริ่มต้นเส้นทางการซื้อขายของคุณหรือยัง สำรวจบัญชีซื้อขาย Forex ของ PU Prime และปลดล็อคความเป็นไปได้ใหม่ๆ
ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการซื้อขายด้วยความมั่นใจในวันนี้ เปิดบัญชี บัญชีซื้อขายสด PU Prime ฟรี วันนี้เพื่อสัมผัสกับการดำเนินการของตลาดแบบเรียลไทม์หรือปรับแต่งกลยุทธ์ของคุณโดยปราศจากความเสี่ยงด้วย บัญชีสาธิตของเรา.
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Pip
-
1. 1 Pip มีมูลค่าเท่าไรในตลาด Forex?
มูลค่า 1 pip ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงิน ขนาดล็อต และสกุลเงินของบัญชี ตัวอย่างเช่น ใน EUR/USD ที่มีอัตราแลกเปลี่ยน 1.2000 มูลค่าของ pip สำหรับล็อตมาตรฐาน (100,000 หน่วย) คือ $8.33.
-
2. คุณคำนวณ Pip ใน Forex ได้อย่างไร?
ในการคำนวณจุด:
- ระบุตำแหน่งของ pip (ทศนิยมที่สี่สำหรับคู่เงินส่วนใหญ่ ทศนิยมที่สองสำหรับคู่เงิน JPY)
- ลบราคาเข้าจากราคาออกเพื่อกำหนดการเคลื่อนไหวของราคา
- คูณความแตกต่างด้วยขนาดล็อตและมูลค่าของ pip
ตัวอย่าง:
สำหรับการซื้อขายที่ EUR/USD เคลื่อนไหวจาก 1.1200 ไปที่ 1.1250 รับ 50 pip ด้วยล็อตมาตรฐาน (มูลค่า pip = $10)
กำไร = 50 × 10 = 500 USD
-
3. เหตุใด Pip จึงแตกต่างกันไปในแต่ละคู่สกุลเงิน?
มูลค่าของ Pip จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนและวิธีการเสนอสกุลเงิน
- คู่หลัก: เช่นเดียวกับ EUR/USD โดยทั่วไปจะมีมูลค่า pip ต่ำกว่าเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ใกล้ 1 มากกว่า
- คู่ที่แปลกใหม่: เช่นเดียวกับ USD/ZAR มักมีมูลค่า pip ที่สูงกว่าเนื่องจากความผันผวนที่มากกว่าและความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนที่มากขึ้น
-
4. ปิเปตคืออะไร?
ปิเปตเป็นหน่วยวัดที่มีเศษส่วน ซึ่งเท่ากับ 1/10 ของหน่วยวัด โบรกเกอร์ใช้ปิเปตเพื่อแสดงการเคลื่อนไหวของราคาที่ละเอียดขึ้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ตัวอย่าง: หาก EUR/USD ถูกกำหนดเป็น 1.10503 เลข “3” จะเป็นปิเปต ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่น้อยกว่าหนึ่งพิปเต็ม
-
5. Pip สามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาดได้หรือไม่?
ตัว Pip นั้นไม่สามารถทำนายแนวโน้มได้ แต่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือวัดเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของราคา ผู้ซื้อขายใช้ความผันผวนของ Pip เพื่อ:
- วิเคราะห์แนวโน้มตลาด
- ประเมินความผันผวน
- ปรับปรุงกลยุทธ์สำหรับการบริหารความเสี่ยงและการขายกำไร